ช่วงนี้หายไปหลายสัปดาห์ที่เดียว ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ก็เตรียมรับมือน้ำท่วม จนถึงตอนนี้ก็กำลังวางแผนเตรียมการอพยพ ปีนี้น้ำมากจริงๆ ครับ ส่วนตัวแล้วไม่คิดว่าเมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม ที่ไปตรวจงานแถวเชียงใหม่แล้วลุยน้ำ ต้องกลับมาลุยน้ำช่วงปลายเดือนที่กรุงเทพฯ แต่จะว่าไปแล้วก็ดีครับที่ได้เจอวิกฤตแบบนี้ เพราะปีหน้า 2012 จะได้รับมือทัน... (สู้ๆครับ)
วันนี้ขอตามกระแสหน่อยนะครับ ถ้าพูดถึงน้ำท่วม ก็ต้องคิดถึงการหน่วงน้ำ ซึ่งสำหรับวิศวกรที่ออกแบบคงจะคุ้นเคยกับคำว่า
"บ่อหน่วงน้ำ"
บ่อหน่วงน้ำ ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจง่าย
ก็คือบ่อสำหรับรองรับปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมายังพื้นที่ ก่อนที่จะระบายลงสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ขอยกตัวอย่าง อย่างนี้แล้วกันครับ สมมติว่าผมมีที่ดินอยู่แปลงหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นดินแล้วมีต้นไม้ขึ้นปกคลุม อยู่มาวันหนึ่งผมจะนำที่ดินผืนดังกล่าวไปสร้างเป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งการพัฒนาโครงการลักษณะนี้จะส่งผลต่อระบบการระบายน้ำในพื้นที่ กล่าวคือ ในปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว เมื่อฝนตก น้ำจะสามารถซึมลงดินได้ประมาณ 70% แต่เมื่อมีการสร้างอาคารก็จะส่งผลทำให้น้ำซึมลงดินได้แค่ 30% โดยส่วนต่างของปริมาณน้ำฝนก็ไม่ได้ไปไหนครับ ก็จะไหลลงสู่ท่อระบายน้ำ
สาธารณะ
(สำหรับสัมประสิทธิ์การไหลนองของน้ำฝนในพื้นที่กำหนดค่าเบื้องต้นตามตาราง)
ลองนึกภาพดูนะครับ ว่าถ้ามีโครงการขึ้นซัก 100 โครงการ คุณคิดว่าท่อระบายน้ำจะรับไหวหรือเปล่า ลักษณะปัญหาดังกล่าวจึงมีการบังคับให้โครงการที่เข้าข่ายที่จะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดสรรที่ดิน จะต้องมีการจัดเตรียมบ่อหน่วงน้ำไว้ ซึ่ง
การคำนวณหาขนาดบ่อหน่วงน้ำ นั้นยอมรับครับว่าในปัจจุบันบริษัทที่ปรึกษาที่จัดทำรายงาน EIA แต่ละบริษัทก็จะมีแนวคิดและวิธีคิดที่แตกต่างกัน
จากประสบการณ์จะมีวิธีคิดอยู่ 3 แบบ (ผมทำเป็นไฟล์ excel ไว้ใครอยากเอาไปศึกษาก็ e-mail มาขอได้นะครับ)
สำหรับหลักการคำนวณ ผมจะพิจารณาจากปริมาณน้ำสะสมในโครการกับปริมาณน้ำที่ระบายออกนอกโครงการมาเป็นข้อมูลในการคำนวณหาขนาดของบ่อหน่องน้ำ โดยปริมาณการระบายน้ำออกจากโครงการจะต้องเท่าเดิม (ถ้าเห็นต่างก็แย้งกันได้นะครับ)
นอกจากการคำนวณหาขนาดแล้ว ลักษณะของบ่อก็สำคัญ โดยส่วนตัวแล้วจากที่เคยทำมา
(อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด) ผมก็จะสร้างบ่อหน่วงน้ำด้วยคอนกรีตแล้วใช้เครื่องสูบน้ำเป็นตัวกำหนดอัตราการไหลของน้ำที่ไหลออกจากพื้นที่ โดยก่อนและหลังการพัฒนาโครงการ อัตราการระบายจะต้องเท่ากัน
แต่มาในช่วงหลังๆ กรรมการ EIA มักจะไม่ให้ผ่าน เลยเกิดแนวคิดเรื่องการหน่วงน้ำในเส้นท่อแทน ซึ่งจะทำการควบคุมการระบายน้ำโดยให้ท่อระบายน้ำที่ออกจากโครงการมีขนาดที่เล็กๆ แต่ก็ยังคงวัตถุประสงค์เดิม คือปริมาณการระบายจะต้องไม่เพิ่มจากเดิม ซึ่งวิธีนี้เป็นเหมือนการอั้นน้ำไว้ให้กักไว้ในท่อไม่ให้ระบายออกเต็มที่ ถามว่าใช้ได้ไหมก็ใช้ได้ครับ แต่ผมก็ยังเกรงเรื่องปัญหาการสะสมตะกอนในเส้นท่อ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วลองนึกดูนะครับว่า บ้านคุณขุดลอกท่อครั้งล่าสุดเมื่อไหร่
ส่วนวิธีที่ดีที่สุด ผมคงตอบไม่ได้ แต่ถ้าจะให้เสนอ ผมมองว่าการออกแบบระบบระบายน้ำคงไม่ใช่เพียงวิศวกรเป็นผู้จัดทำ แต่ควรเริ่มตั้งแต่การวาง Concept ของสถาปนิก และการเลือกวัสดุที่ใช้ในโครงการ ซึ่งจะต้องพิจารณาร่วมกับวิศวกร โดยมุ่งเน้นออกแบบให้โครงการมีค่าสัมประสิทธิ์การไหลนองของน้ำฝน ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก สำหรับส่วนที่เหลือก็ทำบ่อหน่วงน้ำ ซึ่งขนาดบ่อก็จะไม่ใหญ่
ตอนนี้ที่เคยเห็นก็เป็นคอนกรีตปูทางเดินที่น้ำซึมผ่านได้ ในอนาคตก็อาจจะมีนววัตกรรมใหม่ๆเข้ามา
สุดท้ายของวันนี้ แม้วิศวกรออกแบบมาอย่างดีก็ตามแต่พอเวลาสร้างจริงๆ เจ้าของโครงการต้องการประหยัดงบ แล้วตัด คุณบ่อหน่วงน้ำออก ซึ่งถ้าเป็นกรณีอย่างนี้มีหน่วยงานไหนบ้างครับ ที่จะมาบอกว่า ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ผิดนะ ต้องแก้ไข หุหุ...
และฝนคราวนี้อาจจะต้องกำหนดเกณฑ์ออกแบบกันใหม่เลยทีเดียว จากที่คำนวณที่ฝน 5 ปี ผมว่า 10 ปี ไปเลย ก็ดีนะครับ แต่ยังไงก็ดูเรื่องราคาค่าก่อสร้างด้วยแล้วกัน
พบกันใหม่เรื่องหน้า เดี๋ยวเก็บของเตรียมตัวอพยพก่อนนะครับ